ของขวัญวันเด็ก ๒๕๖๔ ที่มีคุณค่าที่สุด คือเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า

 

 

 

วันเด็กปีนี้ไม่เหมือนวันเด็กในทุกๆปี หลายที่งดจัดกิจกรรม เนื่องจากสถาการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดครั้งนี้ ในหลายพื้นที่ ทั่วทุกภาคของประเทศไทยและทั่วโลก

เมื่อวันที่ ๙  มกราคม ๒๕๖๔ นายเชษฐา  มั่นคง ผู้อำนวยการ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ร่วมกับ คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้าและองค์กรเครือข่าย ๓๐๑ องค์กร ตามรายชื่อในท้ายจดหมายนี้ ได้จัดกิจกรรมแถลงข่าว เพื่อเรียกร้องนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี  

      มอบของขวัญวันเด็ก ๒๕๖๔ ที่มีคุณค่าที่สุด”  ด้วยการสนับสนุนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า ในอัตรา ๖๐๐ บาท/คน/เดือน ตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓

สถานการณ์โควิด- ๑๙ รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งให้มีนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า

จากสถานการณ์โควิด-๑๙ ที่กลับมาในระลอกใหม่และมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่ารอบที่ผ่านมา ย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพ ปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อทุกกลุ่มคนหลากหลายอาชีพทั้งในเมืองและชนบทอย่างกว้างขวาง   สำคัญที่สุดคือผลกระทบที่รุนแรงต่อครอบครัวที่มีเด็กเล็กและเด็กเกิดใหม่ การเผชิญภาวะเศรษฐกิจจากรายได้ที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้ปกครองไม่สามารถทำงานตามปกติได้ หรือการถูกเลิกจ้าง โดยเฉพาะแรงงานหญิงที่กำลังท้องหรือมีลูกอ่อน ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า มีผู้มาขอลงทะเบียนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดในปี ๒๕๖๓ สูงขึ้นกว่าช่วงปี ๒๔๖๑ ถึงกว่าร้อยละ ๑๐ ของเด็กเกิดใหม่ ซึ่งก็อาจยังไม่สะท้อนคนจนใหม่ที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด เพราะคาดว่า ยังมีการตกหล่นเนื่องจากระบบคัดกรองคนจนที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้สถานการณ์เด็กเล็กที่โรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีคำสั่งให้ปิดอีกครั้ง ทำให้ค่าใช้จ่ายเด็กเล็กในบ้านเพิ่มขึ้น ขณะที่สถานการณ์เดิมยังไม่สามารถฟื้นตัว ปัญหาเด็กที่ไม่มีผู้ดูแลทำให้ผู้ปกครองไปทำงานไม่ได้หรือต้องหาคนมาช่วยเลี้ยงดูเด็ก ข้อมูลจากในพื้นที่ชุมชน พบว่า เด็กเล็กมีความเสี่ยงต่อภาวะโภชนาการที่ไม่ดี และเสี่ยงต่อการถูกใช้ความรุนแรงจากภาวะเครียดของครอบครัว ช่วงวิกฤติโควิด ๑๙ เด็กขาดพัฒนาการเรียนรู้ ๒๐-๓๐% ในเด็กคนยากจนจะมีความด้อยโอกาสมากกว่าเด็กอื่นถึง ๔ เท่า  ปัญหา/อุปสรรคในการลงทะเบียนเด็กเล็กรายใหม่ทำได้ยากขึ้นในสถานการณ์ที่ต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคมเช่นปัจจุบัน และผลกระทบอีกประการ คือ การเกิดคนจนใหม่อีกจำนวนมาก  ครอบครัวที่เคยมีรายได้สูงกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดในภาวะปกติและไม่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจากนโยบายที่ผ่านมา  ผลกระทบจากโควิด-๑๙ ทำให้ครอบครัวเหล่านี้กลายเป็นครอบครัวยากจน ในขณะที่ยังคงไม่ได้รับความช่วยเหลือ

คณะทำงานฯ เห็นว่า การให้ความช่วยเหลือเด็กเล็กอายุ ๐-๖ ปี แบบถ้วนหน้า ในช่วงวิกฤตโควิด จะทำให้ความช่วยเหลือไปถึงเด็กเล็กอย่างทันทีและเท่าเทียม ลดขั้นตอนด้านเอกสารและการตรวจสอบ เป็นการลงทุนที่น้อยมากและคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนด้านอื่น ๆ ของประเทศ เป็นการสร้างสวัสดิการพื้นฐานเพื่อความเป็นธรรมกับเด็กทุกคนโดยไม่แบ่งแยก และยังสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ในมาตรา ๕๔ วรรคสองระบุไว้ว่า “รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา…เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ  อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย” และมาตรา ๔๘ “สิทธิของมารดาในช่วงระหว่าง ก่อน และหลังคลอดบุตรย่อมได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือตามที่กฎหมายบัญญัติ” สอดคล้องข้อผูกพันกติการะหว่างประเทศที่ไทย ได้ร่วมลงนามไว้ ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ระบุว่า เด็กทุกคนมีสิทธิเข้าถึงระบบความคุ้มครองทางสังคมที่เหมาะสม และพันธะสัญญาสากลขององค์การสหประชาชาติ เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals (SDGs)) และยืนยันนัยสำคัญ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Leave No One Behind)

คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้าและองค์กรเครือข่าย ๓๐๑ องค์กร ตามรายชื่อในท้ายจดหมายนี้ ขอเรียกร้องนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี

      มอบของขวัญวันเด็ก ๒๕๖๔ ที่มีคุณค่าที่สุด”  ด้วยการสนับสนุนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า ในอัตรา ๖๐๐ บาท/คน/เดือน ตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓

มีบทบาทหน้าที่ต้องเข้ามาดูแลสวัสดิการสำหรับเด็กเล็กมากขึ้น หากให้การดูแลอย่างเป็นระบบและถ้วนหน้าจะเป็นการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าทั้งในตัวเองและต่อสภาพเศรษฐกิจสังคมในอนาคตเป็นที่น่ายินดีว่า รัฐไทยเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ซึ่งเริ่มปี ๒๕๕๘ โดยให้เงิน ๔๐๐ บาท/คน/เดือนในขวบปีแรก  ต่อมาในปี ๒๕๕๙ ขยายมาเป็นแรกเกิดถึง ๓ ปี และเพิ่มวงเงินจาก ๔๐๐ บาท เป็น ๖๐๐ บาท/คน/เดือน.. ปี ๒๕๖๐ ขยายสิทธิ์ให้กับผู้อยู่ในระบบประกันสังคมและขยายฐานรายได้จากเดิมที่กำหนดไว้ ๓๖,๐๐๐บาท/ปี/ครัวเรือน มาใช้ฐานรายได้ที่ ๑๐๐,๐๐๐บาท/ปี/ครัวเรือน ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าในการให้สวัสดิการ แต่ยังคงเป็นการให้แบบจำเพาะเจาะจง

มีผลการศึกษาออกมาชัดเจนแล้วว่า โครงการดังกล่าวเกิดปัญหาเด็กเล็กที่อยู่ในเกณฑ์ที่รัฐกำหนดให้ได้รับสวัสดิการตกหล่นถึง ๓๐%[1] และจากการศึกษาทั่วโลกพบว่า การแก้ไขลดอัตราการตกหล่นทำได้ หากรัฐบาลจัดให้เป็นนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า

คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้า มีส่วนผลักดันนโยบายเรื่องนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ต้น โดยเห็นว่า สวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กที่เป็นแบบถ้วนหน้าเป็นการลงทุนทรัพยากรมนุษย์ที่คุ้มค่าที่สุดด้านพัฒนาการเด็ก สอดคล้องกับแนวคิดหลักการด้านสิทธิความเท่าเทียมกัน ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก การให้เงินอุดหนุนกับเด็กเล็กทุกคนทำให้รัฐไม่ต้องใช้กระบวนการคัดกรองคนจน สามารถแก้ไขปัญหาการตกหล่นและลดความเหลื่อมล้ำ เป็นการเสริมสร้างระบบสวัสดิการตลอดช่วงอายุเด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ

[1] การศึกษาวิจัยเรื่อง การประเมินผลกระทบและการประเมินการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติประเทศไทย (UNICEF) สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มอบให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสถาบันวิจัยนโยบายทางเศรษฐกิจ (Economic and Policy Research Institute : EPRI) จากประเทศแอฟริกาใต้ ออกแบบและดำเนินการ โดยมีมหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดเก็บข้อมูลภาคสนาม

ร้องนายกฯ มอบของขวัญวันเด็ก 64 ด้วยสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กแบบถ้วนหน้า คนละ 600 บาท | ประชาไท Prachatai.com

301 องค์กรขอนายกฯมอบเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้าเป็นของขวัญวันเด็ก – โพสต์ทูเดย์ สังคมทั่วไป (posttoday.com)

เรียกร้องนายกฯอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า – innnews

301 องค์กร วอนนายกฯ มอบเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า เป็นของขวัญวันเด็ก (bangkokbiznews.com)

ของขวัญวันเด็ก ขอเงินอุดหนุนเด็กถ้วนหน้า : PPTVHD36

วอนนายกฯ มอบเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า เป็นของขวัญวันเด็ก – www.mfocusnews.com